
ศึกฟุตบอลเอเชียน คัพ 2023 ที่ประเทศกาตาร์ รับหน้าสื่อเป็นเจ้าภาพ ได้เริ่มเปิดฉากในรอบแบ่งกลุ่มไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งการชิงชัยเพื่อเป็นจ้าวเอเชียนั้น ถือเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับทวีปที่มีการแข่งขันอันเข้มข้น รวมถึงประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน และมีเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจซ่อนอยู่มากมาย ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน แต่จะเป็นเรื่องอะไรบ้าง ต้องไปตามกันต่อด้านล่างนี้
เอเชียน คัพ 2023 คือครั้งที่ 18 และมีการเปลี่ยนเจ้าภาพกะทันหัน

การแข่งขันฟุตบอลเอเชียน คัพ เริ่มการแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี 1950 จนถึงปี 2023 เป็นครั้งที่ 18 โดยเดิมทีแล้ว ประเทศจีน จะรับหน้าสื่อเป็นเจ้าภาพ แต่จากสถานการณ์โควิด-19 บวกกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ของรัฐบาล ก็มีผลให้ทัพมังกรแดงถอนตัวเป็นเจ้าภาพ จนต้องหาเจ้าภาพใหม่ ซึ่งมี 4 ชาติ เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ คือ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และ กาตาร์ สุดท้าย AFC เลือก กาตาร์ เป็นเจ้าภาพ เพราะมีความพร้อมมากที่สุด และเพิ่งมีประสบการณ์จากทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 2022 นอกจากนี้ การเลือกให้ กาตาร์ เป็นเจ้าภาพแบบกะทันหัน AFC จึงขยับช่วงเวลาการแข่งขัน มาเป็นช่วงต้นปี 2024 แต่ชื่อทัวร์นาเมนต์ยังเป็นปี 2023 ตามเดิม
เป็นทัวร์นามเมนต์ระดับทวีป ที่เก่าแก่เป็นลำดับที่ 2

ฟุตบอลระดับทวีป โคปาอเมริกา ถือเป็นทัวร์นาเมนต์ที่มีความเก่าแก่มากที่สุด เพราะลงฟาดแข้งกันตั้งแต่ปี 1916 ก่อนที่จะเป็นแม่แบบของการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ส่วนเอเชียน คัพ มีความเก่าแก่เป็นลำดับ 2 เพราะมีการการแข่งขันครั้งแรกในปี 1956 ขณะที่ แอฟริกัน เนชั่นคัพ จัดครั้งแรกในปี 1957 และ ยูโร ในปี 1960
ครั้งแรกแข่งขันกัน 4 ทีม จนถึงปัจจุบันเพิ่มเป็น 24 ทีม
การแข่งขันเอเชียน คัพ ครั้งแรก ลงแข่งขันกัน 4 ทีม เท่านั้น ก่อนจะเพิ่มเป็น 6 ทีม และ 8 ทีม เพื่อให้มีการแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 สาย จากนั้นเพิ่มเป็น 10 12 และ 16 ทีม ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลของทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล กระทั่ง เอเชียน คัพ 2019 AFC ได้เพิ่มทีมในรอบสุดท้ายเป็น 24 ทีม นั่นจึงทำให้ ทีมชาติไทย ได้ผ่านเข้ารอบใน 2 ครั้งหลังสุด
ทีมชาติอิสราเอล เคยเป็นอดีตแชมป์ 1 สมัย
ในอดีต ทีมชาติอิสราเอล เป็นสมาชิกของ AFC และเคยคว้าแชมป์ 1 สมัย ในปี 1964 ซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าภาพในครั้งนั้นด้วย แต่ความชัดแย้งทางการเมืองระหว่าง อิสราเอล กับชาติอาหรับ ก็เลยเป็นผลให้อดีตแชมป์เอเชียน คัพ 1 สมัย ต้องออกจากการเป็นสมาชิก AFC และย้ายไปเข้าร่วมกับ UFFA แทน
ทีมชาติญี่ปุ่น คว้าแชมป์มากที่สุด 4 สมัย
ทีมชาติอิหร่าน และทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ถือเป็นชาติที่ครองความเป็นจ้าวเอเชียไว้คนละ 3 สมัย ส่วน เกาหลีใต้ คว้าแชมป์เอเชียน คัพ 2 สมัย จากการแข่งขันใน 2 ครั้งแรก ขณะที่ ทีมชาติญี่ปุ่น ไม่เคยได้แชมป์ ฟุตบอลโลกก็ไม่เคยได้ไป แต่เมื่อถึงทศวรรษ 90 อีกาดำได้ยกระดับตัวเองขึ้นมา กระทั่งกวาดแชมป์ไป 4 สมัย ในเอเชียน คัพ 2011
ทีมชาติคูเวต และทีมชาติอิรัก กับการสร้างเทพนิยายคว้าแชมป์
เทพนิยายการคว้าแชมป์ของทีมชาติคูเวต เกิดขึ้นใน เอเชียน คัพ 1980 ซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าภาพ โดยในครั้งนั้นแข่งขัน 10 ทีม แบ่งกลุ่มออกเป็น 2 สาย และ คูเวต จบอันดับ 2 ในรอบแรก อย่างไรเสีย การหักด่าน อิหร่าน ในรอบรองชนะเลิศ ถือเป็นเกมสำคัญที่สุด เพราะ อิหร่าน ถือเป็นมหาอำนาจลูกหนังของทวีปเอเชีย และรอบชิงชนะเลิศก็จัดการตบ เกาหลีใต้ แบบสบาย ๆ 3-0
ขณะที่ ทีมชาติอิรัก พวกเขาต้องเผชิญต่อสงครามภายในประเทศ แต่ใน เอเชียน 2007 กลับกลายเป็นการคว้าแชมป์ดั่งเทพนิยาย เพราะพวกเขาไม่ใช่ตัวเต็ง ไม่ใช่ชาติที่ไปเล่นฟุตบอลโลกเป็นประจำ แต่สามารถเฉือนชนะ เกาหลีใต้ และ ซาอุดิอาระเบีย ได้สำเร็จ
เจ้าภาพร่วมอาเซียน ครั้งแรกและครั้งเดียว
เอเชียน คัพ 2007 ถือเป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพมากกว่า 1 ชาติ ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของ 4 ชาติอาเซียน คือ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย โดยการแข่งขันในครั้งนั้น เสือเหลือง กับทัพอิเหนา ตกรอบแรกแบบไร้สภาพ ส่วน ทีมชาติไทย ยันเสมอ อิรัก 1-1 แบบน่าชนะ ถัดมาในเกมกับ โอมาน พิพัฒน์ ต้นกันยา ได้ปลุกความหวังให้ทัพช้างศึก เมื่อลงมาชัด 2 ประตู ให้ทีมชนะ 2-0 แต่สุดท้ายต้องอกหักตกรอบแรก หลังจากแพ้ ออสเตรเลีย 0-4 ขณะที่ ทีมชาติเวียดนาม เป็นชาติจากอาเซียนเพียงชาติเดียว ที่เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย
ทีมแชมป์นอกทวีป
ทีมชาติออสเตรเลีย ย้ายจากโซนโอเชียเนีย มาเป็นสมาชิกของ AFC เพื่อให้การไปฟุตบอลโลกง่ายขึ้น และนั่นทำให้พวกเขาได้เล่น เอเชียน คัพ ครั้งแรกในปี 2007 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งขุนพลแดนจิงโจ้ต้องรอถึง 8 ปี กว่าจะได้แชมป์สมัยแรกในปี 2015 เมื่อเสมอกับเกาหลีใต้ 1-1 ในรอบชิงชนะเลิศ แล้วมายิงประตูชัย 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ