ศึกฟุตบอลคาราบาวคัพ นัดชิงชนะเลิศ ประจำฤดูกาล 2023/24 เกือบจะเป็นหนังฉายช้ำกับเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน ที่ต้องยิงจุดโทษตัดสิน แต่สุดท้ายเกมนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อ ฟานไดค์ ขึ้นมาโขกประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เฉือนชนะในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0 สร้างสถิติเป็นแชมป์คาราบาวคัพมากที่สุด 10 สมัย และนี่คือประเด็นต่าง ๆ จากเกมนัดชิงชนะเลิศ
15 นาทีแรก และ 5 นาทีท้าย ของลิเวอร์พูล
15 นาทีแรกเป็นของ ลิเวอร์พูล ที่สามารถครองบอลได้เกือบเบ็ดเสร็จ แต่เกมรุกดูไม่ลงตัว จนต้องพึ่ง ดิอาช ในการลากเลื้อย หรือเปิดข้ามฟาก แล้วไม่มีจังหวะจบสกอร์ จนเมื่อทางฝั่ง เชลซี เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้ การดักบอลในแดน 1-2 ของตัวเอง แล้วโต้กลับเร็ว ก็ได้สร้างจังหวะที่หวาดเสียว ไปจนถึงการยิงประตูนำ แต่ถูก VAR ริบคืน กระทั่ง 5 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ลิเวอร์พูล เร่งเครื่องขึ้นมา แต่ยังขาดไอเดียในเกมรุก จนมีผลต่อการสร้างจังหวะเข้าทำในแดนสุดท้าย
ได้ประตู แต่ถูกริบ และโอกาสจ่อ ๆ แต่ยิงไม่เข้า
ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ครองบอลไว้ได้มากกว่า ขณะที่เกมรุกก็ปรับมาได้ดี มีการเคลื่อนที่ที่ดีขึ้นกว่า 45 นาทีแรก จนมีโอกาสหวาดเสียวอยู่หลายหน ขณะที่ลูกเตะ ก็ได้สร้างจังหวะจนกลายเป็นประตู แต่ก็ยังถูก VAR ริบคืนไปเช่นกัน ส่วนทางฝั่ง เชลซี กลายเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วรอสวนกลับแบบเต็มตัว โดยในช่วงท้ายเกมถือว่าน่าเสียดายมากที่สุด เมื่อ กัลลาเกอร์ ได้ล่อเป้า ได้หลุดเดี่ยว แต่ยิงไม่เข้าแบบน่าเหลือเชื่อ
ความสดและลูกตั้งเตะ คือหมัดน็อกของ ลิเวอร์พูล
เชลซี ควรได้ประตูก่อนจบ 90 นาที แต่ความไม่เฉียบคม ทำให้เวลาล่วงเลยถึงการต่อเวลาพิเศษ ซึ่งทางฝั่งสิงห์บูล ยิ่งเล่นยิ่งหมด แถมเกมโต้กลับก็ไม่น่ากลัวอีกแล้ว ส่วนทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ไม่มีตัวเลือกอื่น นอกเสียจากส่งเด็กสำรองลงมาเติมความสด และอาศัยลูกขยัน เพื่อยื้อเกมนี้ออกไปให้นานที่สุด จนนาทีที่ 118 หงส์แดงมาได้ประตูนำ 0-1 จากการโหม่งลูกเตะมุมของ ฟานไดค์ ซึ่งมันมาในเวลาที่เหมาะเจาะ จนไม่เหลือเวลาให้ เชลซี ได้แก้ตัว
บทสรุป และภาพรวมจากเกม
การขาดตัวหลักทั้งทีมของ ลิเวอร์พูล ทำให้เกมรุกต้องฝากความหวังไว้ที่ ดิอาช เป็นพิเศษ แต่ฟุตบอลระบบของ คล็อปป์ ทำให้ชุดสำรอง ผสมกับตัวเด็ก สามารถต่อกรกับทีมมูลค่าพันล้านของ เชลซี ได้แบบไม่เป็นรอง ส่วนทางฝั่งสิงห์บูล การตั้งรับและรอสวนกลับ อาจทำให้พวกเขาดูเป็นรอง แต่โอกาสจบสกอร์ถือว่าอันตรายกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะช่วงท้ายเกมในเวลาปกติ อย่างไรเสียเมื่อพวกเขามีโอกาส แล้วคว้าไว้ไม่ได้ มันจึงต้องชี้วัดกันด้วยตัวแปรอื่น แล้ว ลิเวอร์พูล ทำได้ และเป็นฝ่ายชนะ เพราะมีทีเด็ดจากลูกตั้งเตะ
เกมที่น่าผิดหวังของ เชลซี
เชลซี ไม่ต้องลงเล่นนัดกลางสัปดาห์ สามารถจัดผู้เล่นชุดใหญ่แบบเต็มอัตราศึกได้ ตรงข้ามกับ ลิเวอร์พูล ที่ขาดตัวหลักไป 10 ราย จากอาการบาดเจ็บเพียงอย่างเดียว จนต้องขนตัวเด็กมาเป็นสำรอง และต้องไม่ลืมว่าพวกเขาเพิ่งลงเล่นมาเมื่อกลางสัปดาห์ ฉะนั้นก่อนเกม เชลซี สดกว่า ตัวผู้เล่นพร้อมกว่า เป็นโอกาสดีที่จะคว้าแชมป์เพื่อกลบกระแสวิจารณ์ต่อเจ้าของทีม ผู้จัดการทีม นโยบายการซื้อ-ขายนักเตะ และผลงานที่ย่ำแย่ในลีก แต่การพ่ายแพ้ ลิเวอร์พูล ที่ขนเด็กลงมาสู้แบบนี้ โปเช็ตติโน่ ต้องกลับไปจูนสติลูกทีมให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นอาจมีผลต่อเกมต่อ ๆ ไปที่จะต้องลงเล่น
แมนออฟเดอะแมตช์
ฝ่ายจัดการแข่งขันยกแมนออฟเดอะแมตช์ให้ ฟานไดค์ ที่ในวันนี้เก็บกวาดเกมรุกของคู่แข่งไว้ได้หลายจังหวะ และยังเป็นฮีโร่โขกประตูชัยในเกมนี้ แต่หากมองให้ลึกลงไปกว่านั้น มีหลายคนที่เล่นได้เข้าตา ได้แก่ ลุยส์ ดิอาช ที่วิ่งฝ่าวงล้อมแบบไม่มีหมด, วาตารุ เอ็นโด ที่รับบทเป็นหน้าด่านคอยสกัดเกมรุกของคู่แข่ง อีกทั้งหนึ่งในภาพที่ถูกจับมากที่สุด คือการเข้าสกัด ไกเซโด ผู้ซึ่งเคยปฏิเสธการมาร่วมทัพลิเวอร์พูล จน คล็อปป์ ต้องไปดึง เอ็นโด มาแทนในดีลนั้น และอีกหนึ่งคนสำคัญ ที่สามารถให้แมนออฟเดอะแมตช์ได้เช่นกัน คือ เควิน เคลเลเฮอร์ ที่ช่วยเซฟจังหวะสำคัญไว้ได้หลายจังหวะ แต่ 2 จังหวะสำคัญ ที่เซฟด้วยมือซ้ายหน้าปากประตู กับออกไปป้องกันจังหวะเผชิญหน้า 1 ต่อ 1 ถือว่าเข้าตา จนมีส่วนอย่างมากที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่โดนยิงนำไปก่อน
แชมป์มากที่สุด 10 สมัย
ถ้วยคาราบาวคัพ หรือลีกคัพ เริ่มแข่งขันในปี 1962 และการแข่งขันที่เสร็จสิ้นลงไป ทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ครองแชมป์มากที่สุด 10 สมัย ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่คว้ามาแล้ว 8 สมัย โดย 5 สมัยหลังสุด เป็นการเถลิงแชมป์ในรอบ 10 ปีหลังนี้ ถัดลงไปเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 6 สมัย, แอสตัน วิลล่า และ เชลซี คนละ 5 สมัย
