ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก นัดที่ 21 ของฤดูกาล เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดรังรับ สเปอร์ส โดยทางฝั่งเจ้าบ้าน ผลงานยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ แล้วแต่อารมณ์ว่าวันนั้นจะเล่นดีหรือไม่ ขณะที่ผู้มาเยือน ผลงานเริ่มฟื้นตัวกลับมา หลังจากแหกโค้งไปหลายนัด กระนั้นการบุกมาเยือนบ้านปีศาจแดง ไก่เดือยทองมันผูกปีแพ้ และสถิติไม่ค่อยดี จนเหมือเป็นสนามสุดอาถรรพ์สนามหนึ่ง
เกมนี้ แมนยูใช้ระบบ 4-2-3-1 ขณะที่ สเปอร์ส ใช้ระบบ 4-3-3 ส่วนเกมการแข่งขัน มีประตูแรกตั้งแต่นาทีที่ 4 จากฝั่ง แมนยู ซึ่งเป็นการตัดบอลจากแดนตัวเอง แล้ววางบอลไปให้แนวรุกที่ยืนด้านหน้า โดยการให้บอลและสลับพื้นที่กันของ แรชฟอร์ด กับ ฮอยลุนด์ เหมือนจะกั๊กกันแล้ว อีกทั้งการตัดสินใจยิงก็เกือบจะช้าจนมุมหมด แต่ยังดีที่ยิงจนเสียบมุมบนเสาแรก กระนั้นนี่ก็ถือเป็นความผิดพลาดของ สเปอร์ส ที่เลือกยืนดักล้ำหน้าสูง และเข้าปิดมุมช้า รวมถึงผู้รักษาประตูที่ไม่ปิดเสาแรกให้ดี ทั้ง ๆ ที่เป็นมุมที่คาดได้อยู่แล้วว่าจะต้องยิงมาทางนี้
สเปอร์ส ได้ประตูตีเสมอ 1-1 ในนาทีที่ 19 จากลูกเตะมุม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทีเด็ดที่เตรียมมา เพราะลูกตั้งเตะได้ลุ้นทุกครั้ง แต่การเซตบอลจากหลังบ้านไปยังแดนคู่แข่ง กลับกลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากมาก อีกทั้งการเสียบอลกลางบ่อย ๆ ก็มีผลถึงการเสียประตู 2-1 ก่อนจบครึ่งแรก
ครึ่งหลัง สเปอร์ส มายิงตีเสมอ 2-2 ตั้งแต่ 50 วินาทีแรกของเกม ซึ่งเลือกยิงเสาแรกแบบเต็มแรง และต้องให้เครดิตแนวรับเจ้าถิ่นที่มัวแต่ยืนเหม่อลอย และมันเหมือนจะเป็นโมเมนตัมทางบวกแก่ทีมเยือน แต่จากสิ่งที่เห็นคือ ไก่เดือยทองมีปัญหาในเรื่องของการทำเกมรุก เมื่อขาดตัวหัวใจสำคัญอย่าง ซน เฮืองมิน ไป ขณะที่การขึ้นเกมก็มีภาพของเสียบอล จนเกือบโดนเจ้าบ้านลงโทษอยู่เหมือนกัน
บทสรุปจากเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นรองในเรื่องของรูปเกมที่ครองบอลน้อยกว่า แต่มีความเฉียบคมมากกว่า ส่วนรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แมนยู มีปัญหาในเรื่องสมาธิของผู้เล่น ที่ไม่จดจ่ออยู่กับเกมในช่วงต้นครึ่งหลัง และการรับมือลูกตั้งเตะที่ต้านทานไม่ค่อยอยู่ ขณะที่ สเปอร์ส การขึ้นบอล การเคาะบอล ทำให้ดูเหมือนว่าดูดีกว่า แต่ประสิทธิภาพ การส่งบอลที่ไม่แม่นยำ ทำให้สิ่งที่กล่าวมาพังทลาย จนกลายเป็นเสียประตู ส่วนเกมรับก็เข้าประกบช้าจนถูกยิง และเกมรุกเมื่อขาดตัวหลัก ไก่เดือยทองก็เข้าทำไม่ค่อยเป็น นอกเสียจากใช้ทีเด็ดลูกตั้งเตะ กับรอให้คู่แข่งผิดพลาด ฉะนั้นการเสมอกัน 2-2 จึงเป็นสกอร์ที่ยุติธรรม เพราะต่างฝ่ายต่างมีรอยตำหนิ และความผิดพลาดทั้งคู่
