
มาร์คัส แรชฟอร์ด เคยถูกยกให้เป็นเจ้าหนูมหัศจรรย์ เพราะสามารถแจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยวัยเพียง 18 ปี ก่อนจะกลายเป็นตัวหลักของทีม และได้โอกาสติดทีมชาติอังกฤษ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป แรชฟอร์ด ที่เคยถูกตั้งความหวังเอาไว้ กลับกลายเป็นเพียงนักเตะธรรมดา ๆ ที่เกียจคร้านการวิ่งไล่บอล และลากเลื้อยบอลจนดูน่าเบื่อหน่าย
เปลี่ยนโค้ชบ่อย จนหาตำแหน่งเด่นไม่เจอ
แรชฟอร์ด ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ และเป็นกำลังหลักของทีมมาตั้งแต่ยุค หลุยส์ ฟานกัล ต่อด้วย มูรินโญ่, โซชาร์, รังนิค และ เทนฮาก ซึ่งตำแหน่งที่ได้เล่น คือ กองหน้าเป้า และกองหน้าฝั่งซ้าย โดยช่วงที่เล่นเป็นหน้าเป้า การให้บอลแรชฟอร์ด จะให้ในลักษณะการแทง และใช้สปีดลากบอลเข้าไปยิง แต่หากเป็นบอลโด่งให้ แรชฟอร์ด โหม่ง เจ้าตัวจะไม่มีความถนัดในการเล่นลักษณะนี้
ผู้จัดการทีมเกือบทุกคนที่เข้ามาทำงาน เลือกที่จะขยับนักเตะไปเล่นด้านข้าง เพื่อให้ใช้ความสามารถด้านการลากเลื้อยบอลมาป้อนเพื่อนหน้าประตู แต่ด้วยรูปแบบการเล่นแบบองค์รวมทั้งทีมที่ขาดทีมเวิรค์ ทำให้ แรชฟอร์ด โดดเดี่ยวและไม่เข้าจังหวะกับเพื่อน สุดท้ายกลายเป็นต้องยิงเอง หรือไม่ก็ลากเลื้อยบอลไปเรื่อย ๆ จนเป็นภาพชินตาที่น่าเบื่อหน่าย
แรงจูงใจถูกแช่แข็ง เพราะอยู่ในที่เซฟโซน
ปี 2022 เหมือนจะเป็นปีที่ แรชฟอร์ด กลับมาฉายฟอร์มเก่งอีกครั้ง เมื่อสามารถยิงประตูในลีกได้ถึง 17 ลูก แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 2023 และในปีล่าสุด แรชฟอร์ด ก็กลับมาเป็นนักเตะจอมเลื้อยที่น่าเบื่อหน่าย และไม่ช่วยเพื่อนวิ่งไล่บอลเหมือนเดิม แถมมีเรื่องฉาวนอกสนาม เมื่อออกไปเที่ยวจนเมามายจนถูกลงโทษจากสโมสร
แม้ว่าตอนนี้ แรชฟอร์ด จะดูฟอร์มดีขึ้นมา แต่การอยู่กับแมนยู ในระยะยาวอาจไม่เป็นผลดี เพราะมันเหมือนอยู่ในที่เซฟโซน จนไม่มีแรงจูงใจที่จะพัฒนาตัวเองไปให้ไกลกว่านี้ ซึ่งการย้ายทีมอาจเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับ แรชฟอร์ด ที่จะได้ปลุกแรงจูงใจในตัวเองอีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าการย้ายทีมนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร