5 แดงเดือดไม่มีวันลืม ในยุคเยอร์เก้น คล็อปป์

5 แดงเดือดไม่มีวันลืม ในยุคเยอร์เก้น คล็อปป์
5 แดงเดือดไม่มีวันลืม ในยุคเยอร์เก้น คล็อปป์

ศึกแดงเดือดระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งในเกมบิ๊กแมตช์ที่คนทั่วโลกเฝ้าจับตา แต่ในช่วง 10 ปีให้หลัง เหมือนกราฟของทั้ง 2 ทีม กำลังสวนทาง โดยเฉพาะทางฝั่งแมนยู ที่ผลงานไม่เข้าตา จนต้องเปลี่ยนโค้ชใหม่ไปเรื่อย ๆ ขณะที่ ลิเวอร์พูล กลายเป็นฝ่ายผูกขาดชัยชนะ แม้ฤดูกาลสุดท้ายนี้ จะไม่สามารถเอาชนะปีศาจแดงได้เลยก็ตาม และในโอกาสที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ กำลังจะอำลาทัพหงส์แดงไป บทความนี้ขอพาไปย้อนดู 5 แมตช์แดงเดือดในยุคของคล็อปป์  ที่แฟนบอลไม่มีวันลืม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-4 ลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2020/21 เป็นปีโควิด-19 ระบาด และแฟนบอลก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสนาม อีกทั้งผลงานของลิเวอร์พูล ในซีซั่นนั้น ก็ดำดิ่งแบบลงเหว รวมถึงการเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้แค่เสมอ 0-0 ในแอนฟิลด์ และบุกมาพ่ายปีศาจแดง 3-2 ในถ้วย FA Cup แม้ฤดูกาลก่อนจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาแบบยิ่งใหญ่  

แมตช์นั้นจึงเป็นเกมสำคัญของลิเวอร์พูล เพราะถ้าหากเก็บ 3 แต้มไม่ได้ โอกาสติดท็อปโฟร์ก็แทบจะเป็นศูนย์ แล้วในแมตช์นั้น แมนยู เป็นฝ่ายขึ้นนำอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้น มันเหมือนเป็นการกระตุกหนวดลิเวอร์พูล เมื่อพวกเขาได้ ฟีร์มิโน่ เบิ้ล 2 จนกระหน่ำยิงแซง 1-3 และมีช่วงที่แมนยู ยิงไล่มา 2-3 อย่างไรก็ดี การลากบอลครึ่งสนาม ก่อนยิงอัดไปที่เสาไกลของ ซาลาห์ ก็ได้กลายเป็นประตูปิดกล่อง 2-4 พร้อมกับทำให้หงส์แดงติดท็อปโฟร์ในซีซั่นนั้น

ลิเวอร์พูล 3-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ช่วงต้นฤดูกาล 2018/19 ลิเวอร์พูล มีผลงานดีกำลังได้ลุ้นแชมป์ แม้จะมีสะดุดไปบ้าง ส่วนทางฝั่งแมนยู ผลงานระส่ำ เก้าอี้มูรินโญ่เริ่มร้อน เพราะนอกจากผลงานจะไม่ดี เจ้าตัวยังโจมตีบอร์ดบริหารที่ไม่ซื้อนักเตะที่เจ้าตัวต้องการ ทำให้เกมในครึ่งแรก แมนยูเป็นฝ่ายตั้งรับแบบเต็มพิกัด แล้วไม่รอดเมื่อโดนลิเวอร์พูล ยิงนำ 1-0 แต่ไล่หลังไม่นาน ลินการ์ด มายิงตีเสมอ 1-1 จากการยิงตรงกรอบครั้งแรก

ก่อนจบครึ่งแรก และตลอดครึ่งหลัง แมนยู แพ็คเกมรับแบบแน่นหนาพิเศษ จนส่อแววจะแบ่งแต้มออกมาได้ แต่การส่ง เซอร์ดาน ชาร์กีรี่ ของ คล็อปป์ ก็ได้กลายเป็นซุปเปอร์ซับยิง 2 ประตู ให้ลิเวอร์พูล ชนะ 3-1 และในวันรุ่งขึ้น มูรินโญ่ ก็ตกงานทันที

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-3 ลิเวอร์พูล

เป็นเกมแดงเดือดในศึก FA Cup ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยก่อนเกม ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในเส้นทางลุ้น 4 แชมป์ และมักเป็นจอมคัมแบ็คในช่วงท้ายเกม ซึ่งในเกมนี้เหมือนจะเป็นเช่นนั้น เมื่อ แมนยู ทำซ่าด้วยการนำก่อน 1-0 แต่ก่อนจบ 45 นาทีแรก ลิเวอร์พูล รัวแซงเป็น 1-2 ส่วนครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล มีโอกาสทองที่จะยิงทิ้งห่าง แต่ก็ทำไม่ได้ แล้วเมื่อไม่ได้ แมนยู ก็ลงโทษด้วยการตีเสมอ 2-2 จนต้องยื้อถึงการต่อเวลาพิเศษ ซึ่ง ลิเวอร์พูล มายิงนำ 2-3 จนส่อแววว่าเกมนี้จะได้บทสรุป แต่ปีศาจแดงไม่ยอมแพ้ เมื่อพวกเขาฉกบอลจากเท้าของคู่แข่ง แล้วยิงแซงเป็น 4-3 ในวินาทีสุดท้ายของเกม พร้อมกับเขี่ย ลิเวอร์พูล ให้ตกรอบ แบบน่าสะใจที่สุดในรอบทศวรรษก็ว่าได้   

ลิเวอร์พูล 2-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ฤดูกาล 2018/19 ลิเวอร์พูล นำจ่าฝูง ชนิดที่คู่แข่งไม่ต้องไล่ตาม และการเจอกับ แมนยู ที่กำลังหมดช่วงฮันนีมูนกับ โซชาร์ ก็ได้กลายเป็นโอกาสดี ที่จะเอาชนะคู่แค้นในฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล ฟอร์มพีคที่สุด ซึ่งในเกมการแข่งขันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อพวกเขาออกนำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 14 จาก ฟานไดค์ และเกมก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยที่ยิงทิ้งห่างออกไปไม่ได้เสียที นั่นจึงทำให้ในช่วงท้ายเกม ผู้เล่นลิเวอร์พูล พยายามปิดเกม และรักษาสกอร์นี้ไว้ แต่ อลิสซง คิดต่างออกไป เมื่อเจ้าตัวเก็บได้ ก็จัดการสาดบอลไปให้ ซาลาห์ ได้หลุดเดี่ยว จนยิงประตู 2-0 ตอกฝาโลง ซึ่งหลังจากยิงได้ ราชาแห่งอียิปต์ดีใจอย่างสุดเหวี่ยงด้วยการถอดเสื้อ เพราะนี่คือประตูแรกที่ยิงใส่ แมนยู ขณะที่ อลิสซง เป็นผู้รักษาประตูที่ทำแอสซิสต์   

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-5 ลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2020/21 ลิเวอร์พูล กลับมามีลุ้นแชมป์อีกครั้ง หลังจากฟอร์มตกไปเมื่อปีก่อน ส่วนเกมแดงเดือดนัดนี้ แมนยู กำลังมีผลงานที่ย่ำแย่ และกระแสวิจารณ์ถึง โซชาร์ ก็หนักหน่วงจากทั่วทุกสารทิศ จนเมื่อเกมการแข่งขันเริ่มขึ้น ลิเวอร์พูล ยิงนำอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นาทีที่ 5 ก่อนยิงเพิ่มอีก 3 รวมเป็น 0-4 เมื่อจบครึ่งแรก ขณะที่ครึ่งหลัง เหมือนหงส์แดงมีความปราณี เมื่อพวกเขายิงเพิ่มแค่ 1 ประตู แม้จะได้เปรียบตัวเล่นจากการที่ ป็อกบา โดนไล่ออกตั้งแต่นาทีที่ 60 แต่การเอาชนะปีศาจแดง แบบคาบ้านถึง 0-5 ก็ได้กลายเป็นสถิติใหม่ และยากยิ่งที่ใครจะทำได้   

ลิเวอร์พูล 7-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ฤดูกาล 2022/23 ถือเป็นอีกปีที่ ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้น่าผิดหวัง รวมถึงนักเตะที่ซื้อมาใหม่ ก็ยังโชว์ฟอร์มไม่เข้าตา ตรงข้ามกับ แมนยู ที่เริ่มต้นยุคใหม่กับ เอริก เทนฮาก และประเดิมสวยด้วยแชมป์คาราบาว คัพ นั่นจึงทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ ว่านี่อาจเป็นคราวของ แมนยู ที่จะบุกมาเอาชนะในรอบ 7 ปี แต่เมื่อเกมเริ่มขึ้น ดันกลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ยันอยู่ แถมได้ประตูนำ 1-0 ส่วนเกมในครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในฤดูกาล ด้วยการไล่ยิงคู่แค้นถึง 6 เม็ด ทำให้ผลสกอร์ 7-0 ได้กลายเป็นชัยชนะแห่งศตวรรษที่ 21 ของ ลิเวอร์พูล ที่มีเหนือ แมนยู ในศึกแดงเดือด       

howto

สมัครผ่านไลน์

สมัครบาคาร่า

สมัคร AUTO

สมัครแทงหวย

ทางเข้า ufabet

แทงหวย

ฝากถอนออโต้