วิเคราะห์หลังเกม – ตัดเกรดนักเตะ ศึกแดงเดือด ลิเวอร์พูล ไล่เจ๊า แมนยู 2-2 

ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่เอกประจำสัปดาห์นี้ เป็นศึกแดงเดือดระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านพบ ลิเวอร์พูล โดยฤดูกาลนี้พบกันไป 2 ครั้ง แบ่งเป็นเสมอกัน 0-0 ที่แอนฟิลด์ และแมนยู ชนะ 4-3 ในศึก FA Cup ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด นั่นจึงทำให้เกมนี้เป็นการพบกันครั้งที่ 3 แล้ว ลิเวอร์พูล ต้องการ 3 แต้ม เพื่อทวงคืนตำแหน่งจ่าฝูง ขณะที่ แมนยู หากยังหวังโควตา UCL ย่อมต้องมอง 3 แต้ม ในเกมนัดนี้

ครึ่งแรกของ ลิเวอร์พูล

ในช่วง 10 นาทีแรก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดักบอล และโต้กลับแบบมีลุ้น แต่เมื่อเกมผ่าน 10 นาที ไปจนจบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายครองเกมไว้ได้ แล้วมาได้ประตูออกนำ 0-1 ในนาทีที่ 23 จากสูตรลูกเตะมุม ที่มีการโขกเฉือนที่เสาแรก และ ดิอาซ ฉีกตัวเองไปตะบันบอลที่เสาไกล ส่วนหลังจากนั้น ลิเวอร์พูล สร้างโอกาสเข้าทำได้จะแจ้งกว่า โดยเฉพาะการขึ้นบอลทางฝั่งซ้าย แล้วจ่ายไปเลียดไปที่หน้าประตู ซึ่ง โซโบสไล เข้าถึงบอลหลายจังหวะ แต่ไม่สามารถยิงบอลให้เข้ากรอบได้ ขณะที่บางจังหวะก็ใช้การวางบอลยาวให้ตัวริมเส้นทางฝั่งซ้าย หรือหากขึ้นทางขวาก็จะหาจังหวะทิ้งบอลมาให้ฝั่งซ้าย เพื่อใช้สปีดความเร็วพาบอลเข้าใกล้ปากประตู แล้วสร้างโอกาสจบสกอร์ แต่ก็ยังขาดความเฉียบคม

ควอนซาห์ แจกโชค ลิเวอร์พูล ไม่เหมือนเดิม

ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล กำลังตั้งหน้าตั้งตาบุกเหมือนในช่วงครึ่งแรก แต่ในนาทีที่ 49 ควอนซาห์ จ่ายบอลน้ำหนักขาด ทำให้ บรูโน่ ปรี่เข้ามาซัดไกล ตีเสมอเป็น 1-1 พร้อมกับทำให้โมเเมนตัมเหวี่ยงมาหาเจ้าบ้าน เมื่อแนวรับของ แมนยู สามารถดักบอลและโต้กลับแบบสวย ๆ ได้อยู่ตลอด กระทั่งนาทีที่ 67 แดนกลางของ ลิเวอร์พูล ยืนผิดตำแหน่งทั้งแผง ทำให้เกมโต้กลับของ แมนยู มาได้สุดทาง ก่อนที่ ไมนู จะวางเท้ายิงบอลพุ่งเสียบหน้าต่างเสาไกล พลิกแซงนำเป็น 2-1

จุดโทษเซฟแต้ม ลิเวอร์พูล

หลังจาก แมนยู แซงนำเป็น 2-1 เกมรุกของ ลิเวอร์พุล ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ กว่าจะเริ่มขึงบุกได้อีกครั้ง กระทั่งนาทีที่ 83 ลิเวอร์พูล ได้จุดโทษ เมื่อ วาน-บิสซาก้า เกี่ยวข้อเท้าของ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ จนล้มลงในเขตโทษ ก่อนที่ ซาลาห์ จะยิงไปทางซ้ายมือ และ โอนาน่า พุ่งไปคนละทาง ลิเวอร์พูล ตีเสมอเป็น 2-2 พร้อมกับทำให้โมเมนตัมเหวี่ยงกลับคืนมา เมื่อแนวรุกของหส์แดง ขึงบุกชุดใหญ่ในช่วงท้ายเกม แล้วก็พอมีโอกาสได้จบสกอร์ แต่ขาดความเด็ดขาด ทำให้เกมนี้จบลงที่การเสมอกัน  2-2

บทสรุปจากเกม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบปัญหาผู้เล่นในแนวรับบาดเจ็บหลายราย แต่ปัญหาดังกล่าวไม่มีผลกับเกมนี้ โดยเฉพาะ วิลลี คัมบวาลา ที่ไม่มีอาการตื่นสนาม และไม่มีข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ กระนั้นรูปเกมในครึ่งแรก แมนยู เป็นรองคู่แข่งในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าเป็นการป้องกันเกมรับที่ปล่อยให้คู่แข่งเข้าถึงบอลในกรอบ 6 หลา การหลงกลสูตรลูกตั้งเตะจนเสียประตูแรก และการเสียบอลกลางสนามจนถูกโต้กลับ กระทั่งมีผลให้โอกาสจบสกอร์แทบไม่มี กลับกันในครึ่งหลัง แมนยู ฉวยโอกาสสำคัญได้ แล้วสามารถปลี่ยนเป็นประตูตีเสมอ 1-1 ได้สำเร็จ นั่นจึงทำให้รูปเกมเริ่มเป็นต่อคู่แข่ง โดยเฉพาะการดักบอลในแดนตัวเองแล้วโต้กลับ จนเป็นที่มาของประตูแซงนำ 2-1 แต่เมื่อโดนตีเสมอในช่วงท้ายเกม แนวรับปีศาจแดงเริ่มขึ้นบอลไม่ผ่านกลางสนาม จนได้แต่ตั้งรับในแดนตัวเอง แต่เพราะคู่แข่งจบสกอร์ไม่คม กับแนวรับ แมนยู ไม่เสียสมาธิมากเหมือน 2 เกมก่อนหน้า จึงทำให้ยันสกอร์ 2-2 เอาไว้ได้

ลิเวอร์พูล ในครึ่งแรก สร้างโอกาสจบสกอร์ได้มากมาย และการได้มา 1 ประตู ก็ถือว่าเข้าทางแท็กติกที่เตรียมมา แต่การจ่ายบอลน้ำหนักขาดของ ควอนซาห์ จนส่งผลถึงการเสียประตู 1-1 ก็ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จนรูปเกมเป็นรองคู่แข่งในครึ่งหลัง โดยหากไม่มีจังหวะฟาวล์ จนได้จุดโทษตีเสมอ 2-2 หงส์แดงอาจมือเปล่าในเกมนี้ไปแล้วก็ได้ อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่เป็นปัญหาและยังไม่ห็นถึงการแก้ไข คือ การจบสกอร์ที่ไม่เฉียบคม ซึ่งนี่เป็นปัญหาใหญ่ให้ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ทำแต้มหล่นในฤดูกาลนี้ และนี่อาจส่งผลต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก กับเส้นทางอีก 7 นัดที่เหลือ

ตัดเกรดนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

อ็องเดร โอนานา (7) : เซฟลูกอันตรายของ โซโบสไล และ ดิอาซ ไม่ให้ทีมเสียประตู แต่ลูกที่เสียประตู

 0-1 ถือว่าพลาดเล็กน้อย เพราะบอลไม่ได้ห่างตัว ขณะที่ลูกตีเสมอ 2-2 ก็ถูกหลอกแบบนิ่ม ๆ จนพุ่งไปคนละทาง

อารอน วาน-บิสซาก้า (6) : การตามประกบ ซาลาห์ ถือว่าทำได้ดี จนคู่แข่งดูดรอปลงไป ส่วนการเข้าสกัดบอลจากเท้าของ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ เกือบเป็นจังหวะที่สมบูรณ์แบบ หากแต่เหลี่ยมบอลไปเข้าทางคู่แข่งจนกลายเป็นการขัดขา กระทั่งเสียจุดโทษและประตูตีเสมอ 2-2  

แฮร์รี แม็คไกวร์ (7) : การใช้ความใหญ่เข้าเบียดแนวรุกคู่แข่งจนเล่นบอลต่อไม่ได้ ถือเป็นการลดทอนจังหวะอันตรายไปได้หลายครั้ง

 วิลลี คัมบวาลา (7) : อายุ 17 ปี แล้วต้องเล่นเกมใหญ่ แต่ไม่มีอาการตื่นสนาม ไม่มีข้อผิดพลาดครั้งใหญ่

 ดิโอโก้ ดาโลต์ (6) : เป็นฝัั่งที่โดนเจาะตลอดเกม และตามประกบคู่แข่งไม่ค่อยอยู่

ค็อบบี้ ไมนู (8) : ไม่ตามประกบ ดิอาซ จนเป็นเหตุให้เสียประตู 0-1 แต่มาแก้ตัวด้วยการยิงแซงนำ 2-1 แบบสุดสวย

คาเซมิโร (6) : ความเชื่่องช้า ทำให้โดนคู่แข่งรุมกินโต๊ะ แต่หลายจังหวะก็ใช้ความเก๋าช่วยทีมไว้ได้

อเลฮานโดร การ์นาโช (5) : ได้บอลน้อย ส่วนใหญ่มักเป็นการจ่ายให้เพื่อน และไม่ค่อยมีโอกาสได้พาตัวเองเข้าใกล้กรอบเขตโทษ

บรูโน แฟร์นันด์ส (8) : การฉวยโอกาสยิงไกล จนตีเสมอ 1-1 และการเข้าสกัดบอล ไม่ให้ ซาลาห์ ได้ล่อเป้า ถือเป็นจังหวะสำคัญที่ทำให้ทีมมีแต้ม

มาร์คัส แรชฟอร์ด (5) : แทบไม่มีโอกาสได้กระชากบอลตามถนัด แถมยังถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานจนต้องเปลี่ยนตัวออก

ราสมุส ฮอยลุนด์ (6) :ได้ครองบอลในจังหวะที่ต้องใช้สปีด ซึ่งไม่ใช่เรื่องถนัดของเจ้าตัว ทำให้วันนี้ดูเงียบ และไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก 

โซฟียาน อัมราบัต (5) : มีเวลาอยู่ในสนามราว 20 นาที มีโอกาสได้ลากบอลโต้กลับ แต่ถูกสกัดไว้ได้กลางทาง

 เมสัน เมาท์ (5) : มีเวลาอยู่ในสนามราว 15 นาที และหน้าที่ส่วนใหญ่คือการเล่นเกมรับ และคอยสกัดเกมโต้กลับ 

อันโตนี (6) : ลงมาช่วยเกมรับถึงในกรอบเขตโทษ และได้ขึ้นไปยิงในจังหวะโต้กลับ แต่ถูกเซฟไว้ได้ 

ตัดเกรดนักเตะลิเวอร์พูล

 ควีวีน เคลเลเฮอร์ (7) : ประตูที่เสียทั้ง 2 ลูก ถือว่าสุดปัญญาจะเซฟได้ ส่วนจังหวะอื่น ๆ ไม่มีความผิดพลาดอะไร

คอเนอร์ แบรดลีย์ (6) : เกมรับไม่หลวม แต่การออกบอลต้องเล่นจังหวะแก้ไขบ่อยครั้ง

จาเรลล์ ควอนซาห์ (4) : ช่วงต้นเกม จ่ายบอลเสียจนถูกโต้กลับ ส่วนช่วงต้นครึ่งหลัง จ่ายบอลน้ำหนักขาด จนโดนยิงไกลและเสียประตู 

เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (7) : เล่นได้ตามมาตรฐาน ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร

แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (7) : เติมเกมรุกเพื่อจ่ายบอลสวย ๆ ได้หลายครั้ง แต่เพื่อนดันยิงออกไปเสียหมด

อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ (7) : จับจ่ายบอลได้ไหลลื่นตามมาตรฐาน ไม่มีข้อผิดพลาดที่น่าเกลียด

วาตารุ เอนโด (5) : ไม่ค่อยได้ออกแรงเล่นเกมรับ แต่เมื่อถึงเวลาต้องสกัดให้อยู่หมัด กลับไม่สามารถหยุดคู่แข่งได้

โดมินิค โซโบสไล (4) : บอลที่ออกจากเท้าไม่ได้ช่วยให้ทีมได้เปรียบ เป็นคนที่ได้โอกาสจบสกอร์แบบจ่อ ๆ เยอะ แต่ยิงหลุดกรอบจนไม่ได้ลุ้น

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (6) : โดนคู่แข่งจับตายจนแทบจะไม่ได้บอล กระทั่งได้มาเห็นหน้าชัด ๆ ตอนยิิงจุดโทษตีเสมอ 2-2 

ดาร์วิน นูนเญซ (5) : จังหวะบุกเสียของ เพราะไม่ยิงเอง และเลือกจ่ายให้เพื่อน  ส่วนโอกาสยิงจ่อ ๆ ไม่มีความเฉียบคม เพราะมีแต่ยิงเฉี่ยว กับยิงออก

หลุยส์ ดิอาซ (6) : เป็นผู้ทำประตูนำ 0-1 แต่เมื่อดูจากโอกาสทั้งเกม ถือว่าใช้โอกาสเปลื้อง และควรได้มาก กว่า 1 ประตู    

โจ โกเมซ (6) : ลงมาเล่นตำแหน่งแบ็คขวาราว 30 นาที แต่ไม่ได้มีจุดโดดเด่นที่สะดุดตา  

โกดี้ คักโป (5) : ลงให้ตัวครบ 11 คน เพราะแทบจะไม่มีโอกาสได้สับไก หรือสร้างจังหวะใด ๆ เลย 

ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (6) : ลงมาช่วยเพิ่มมิติเกมรุกทางด้านขวา เป็นคนที่ทำให้ทีมได้จุดโทษ แต่น่าเสียดายที่จังหวะสุดท้ายของเกม ดันยิงไม่หนีมือ โอนาน่า

เคอร์ติส โจนส์ (5) : จ่ายคืนหลัง มากกว่าจะพาบอลไปข้าง ทำให้ทีมต้องเสียเวลาเซตบอลจากข้างหลัง 

howto

สมัครผ่านไลน์

สมัครบาคาร่า

สมัคร AUTO

สมัครแทงหวย

ทางเข้า ufabet

แทงหวย

ฝากถอนออโต้