
ศึกฟุตบอล FA Cup ประจำฤดูกาล 2023/24 ได้โฉมหน้าของ 4 ทีมสุดท้าย ที่จะได้ไปเล่น ณ สนามเวม บลีย์ เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในบรรดา 4 คู่ ก็มีถึง 2 คู่ที่เกิดดราม่าแบบสุดช็อก เมื่อทีมที่สกอร์ตามหลัง พลิกกลับมาเป็นผู้ชนะในช่วงปั้นปลายแบบสุดสะใจ แต่ก็ฝันร้ายของผู้แพ้ในเวลาเดียวกัน
วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-3 โคเวนทรี ซิตี้

เกมคู่แรก ลงเตะในช่วงค่ำของคืนวันเสาร์ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่เหมือนจะเจองานง่าย แต่เมื่อเริ่มเกมกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อ โคเวนทรี กลายเป็นฝ่ายที่ได้ลุ้นประตูมากกว่า กระนั้น ทีมเยือนเริ่มจะแสดงให้เห็นถึงการใช้โอกาสที่สิ้นเปลื้อง กระทั่งกว่าจะมาได้ประตูนำ 0-1 ก็รอถึงนาทีที่ 53 จากลูกฟรีคลิก ที่เปิดไปให้ตัวที่อยู่ด้านไกลได้โขกตั้ง แล้ว เอลลิส ซิมส์ พุ่งโขกที่หน้าประตู จากนั้น วูล์ฟ ที่ดูเหมือนจะเซื่องซึมและไม่น่าฟื้นกลับมา อยู่ ๆ มีแรงฮึดยิงแซง 2-1 ในนาทีที่ 83 และ 88 ซึ่งถึงตรงนี้ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรสำหรับเจ้าหมาป่า แต่ช้างกระทืบโรง ที่ยิงทิ้งยิงขว้างมาทั้งเกม ก็มาฮึดยิง 2 ลูกคืน ในนาทีที่ 90+7 และลูกปั่นเสียบหน้าต่างสุดสวย ในนาทีที่ 90+10 ทำให้ทีมเยือนเป็นฝ่ายเข้ารอบต่อไปแบบพลิกล็อก ด้วยสกอร์ 2-3
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-0 นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด

เกมคู่นี้แทบจะแบเบอร์ และไม่มีอะไรพลิกโผ เมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ค่อย ๆ กด ค่อย ๆ นวด แล้วมาได้ประตูนำ 1-0 ในนาทีที่ 13 จากการยิงของ แบร์นาร์โด้ แฉลบแนวรับเข้า และประตูทิ้งห่าง 2-0 ก็เป็น แบร์นาร์โด้ คนเดิม อีกทั้งการยิงยังมีลักษณะคล้าย ๆ กับลูกแรก ส่วนช่วงเวลาที่เหลือ นิวคาสเซิ่ล ไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะที่เจ้าถิ่น ยิงทิ้งยิงขว้างไปเอง จบเกม แชมป์เก่าเอาชนะไปแบบสบาย ๆ 2-0
เชลซี 4-2 เลสเตอร์ ซิตี้

เชลซี เจองานเบา แถมได้เล่นในบ้าน ส่วนเกมการแข่งขัน พวกเขาออกนำอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นาทีที่ 13 จาก คูคูเรญ่า และหลังจากนั้นก็จ่อจะได้ประตูที่ 2 แบบนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนจะมาได้จริงก่อนหมดครึ่งแรก จาก พาล์มเมอร์ ขณะที่ครึ่งเวลาหลัง เลสเตอร์ มาได้ประตู 2-1 แบบงง ๆ เมื่อแนวรับเจ้าถิ่นจ่ายบอลคืน แต่ความแรงและทิศทาง มันพอดีจนข้ามหัวนายทวาร และเข้าไปตุงตาข่าย ทำให้โมเมนตัมเทไปหาฝั่งทีมเยือน จนสามารถตามตีเสมอ 2-2 ในนาทีที่ 62 ซึ่งในตอนนั้น จิ้งจอกสยามย่อมมองถึงการยิงแซงนำ แต่สิ่งที่คิดไว้ดันไม่เป็นไปตามแผน เมื่อพวกเขาต้องมาเหลือ 10 คน จนต้องเปลี่ยนแผนการเล่น แล้วไม่สามารถยันได้อยู่ เมื่อ สิงห์บูล มายิงเบิ้ล 2 ลูก ในช่วงทดเวลา เป็น 4-2
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-3 ลิเวอร์พูล

เกมบิ๊กแมตช์ประจำรอบนี้ ที่แฟนบอลทั้ง 2 ทีม จะไม่มีวันลืม เพราะเป็นเกมที่หลากหลายอารมณ์ จากสกอร์ที่ผลัดกันนำ ผลัดกันตาม โดยเกมนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาเพรสซิ่งสูงใส่ทีมเยือน จนไม่สามารถตั้งเกมได้ อีกทั้งรูปแบบการเล่นเช่นนี้ ก็มีผลให้ แมนยู ขึ้นนำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 10 กระทั่งในช่วงท้ายครึ่งแรก แนวรับของเจ้าถิ่นออกอาการหลวมนิดเดียว ก็ถูก ลิเวอร์พูล ตีเสมอ 1-1 เป็นการลงโทษ และมายิงแซง 1-2 ในช่วงทดเวลา
ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ออกมาเล่นแบบมั่นใจ และมีโอกาสที่จะทิ้งห่าง 1-3 หลายครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้ ทำให้เจ้าถิ่นยังอยู่ในเกม แล้วในช่วงท้าย ก็มาตามตีเสมอ 2-2 จาก แอนโทนี่ ที่เพิ่งเปลี่ยนลงมา ทำให้โมเมนตัมเทข้างมาที่เจ้าถิ่น จนเกือบจะยิงประตูชัยในช่วงเวลาปกติได้ หาก แรชฟอร์ด ไม่ยิงหลุดเสาไปเอง
เกมยื้อถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ แล้วเป็น ลิเวอร์พูล ที่ยิงนำ 2-3 จาก เอเลียสต์ จนทำท่าว่าเกมจะได้บทสรุป แต่การจ่ายบอลพลาดของ นูเญซ ดันกลายเป็นความผิดพลาดใหญ่ ที่ถึงขั้นถูกตีเสมอ 3-3 จาก แรชฟอร์ด ซึ่งในเวลานั้น มีโอกาสต้องดวลจุดโทษสูงมาก แต่ด้วยความผิดพลาดของผู้เล่นทีมเยือน ที่เกี่ยงกันเล่นบอล ทำให้โดนฉก และเผด็จศึกโดย อาหมัด ดิยัลโล เป็น 4-3 ดับฝัน 4 แชมป์ ของหงส์แดงได้สำเร็จ