
เฮดโค้ช หรือผู้จัดการทีม ถือเป็นอีกตำแหน่งที่สำคัญของของทีมฟุตบอล ซึ่งจะทำหน้าที่ดูแล และจัดการทุกอย่างที่เกี่ยวกับเกมการแข่งขัน ตั้งแต่ก่อนแข่ง ไปจนถึงหลังเกม แต่การทำงานให้กับสโมสร หรือทีมชาติ ก็มีความแตกต่างกันในเนื้องาน แม้ชื่อตำแหน่งจะเหมือนกัน แล้วอะไรคือความแตกต่างบ้าง บทความนีี้มีคำตอบ
การหาข้อมูล
การหาข้อมูลถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะโค้ชทุกคนจะต้องรู้ถึงวิธีการเล่น ว่าจุดแข็ง จุดอ่อนอยู่ตรงไหน ทั้งกับทีมตัวเอง และคู่แข่ง ซึ่งการมีข้อมูลตรงนี้ จะนำไปสู่การออกแบบแผนการฝึกซ้อม และแท็กติกที่จะใช้ในการแข่งขัน ซึ่งการทำงานของโค้ชทีมชาติ จะมีระยะเวลาการหาข้อมูลที่ยาวนาน แต่การหาข้อมูลจะเป็นในลักษณะค่อย ๆ เก็บเป็นรายกลุ่ม ไปจนถึงรายบุคคล ดังจะเห็นได้ทั่วไป ที่โค้ชทีมชาติจะต้องตระเวนไปดูเกมการแข่งขัน เพื่อสุ่มดูฟอร์มนักเตะที่จะเรียกมาติดทีมชาติ หรือสุ่มดูตัวอันตรายของคู่แข่ง แล้วนำข้อมูลทั้งหมด มาสังเคราะห์เป็นข้อมูล 1 ชุด
การทำงานกับสโมสร เวลาในการหาข้อมูลจะสั้นกว่าโค้ชทีมชาติ เพราะเมื่อฟุตบอลเข้าสู่ฤดูกาลแข่งขัน ความถี่ในการแข่งขันจะเว้นวรรคทุก 3 วัน ไปจนถึง 7 วัน ทำให้หลายสโมสรจะพึ่งพานักวิเคราะห์ข้อมูล ให้เข้ามาช่วยทำงานตรงนี้ อย่างไรก็ดี การทำงานของโค้ชสโมสร จะเก็บข้อมูลได้ง่าย และเร็วกว่า เพราะหากต้องเล่นกับทีมไหน ก็สามารถเก็บข้อมูลจากทีมนั้นได้ทันที โดยไม่ต้องตระเวนไปสุ่มดูตามสนามต่าง ๆ รวมถึงไม่ต้องนำข้อมูลจากหลาย ๆ สนามมาสังเคราะห์
เวลาในการทำงาน
การทำงานโค้ชสโมสร จะต้องคลุกคลีอยู่กับนักฟุตบอลแทบทุกวัน โดยเฉพาะการฝึกซ้อมเช้า-เย็น อย่างน้อย 4-5 วัน และได้หยุดอย่างน้อย 1-2 วันต่อสัปดาห์ หลังจากลงแข่งขันเสร็จ ฉะนั้นการทำงานโค้ชสโมสร จึงเป็นงานที่หนัก เหนื่อย และแทบไม่มีวันหยุด เพราะตลอดทั้งฤดูกาลจะมีเกมการแข่งขันราว ๆ 40-50 เกม เว้นเสียแต่ในช่วงปิดฤดูกาล ที่พอจะมีเวลาได้พักบ้าง
การทำงานโค้ชทีมชาติ หากปีไหนไม่มีทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ก็มีเกมการแข่งขันราว ๆ 10 นัด ต่อปี แต่หากปีไหนได้แข่งขันระดับทวีป ไปจนถึงฟุตบอลโลก จำนวนเกมการแข่งขันก็จะเพิ่มขึ้นราว ๆ 20 นัด ต่อปี ทำให้การทำงานของโค้ชทีมชาติ จะไม่หนักเท่ากับโค้ชสโมสร อีกทั้งยังมีเวลาพักมากกว่า นั่นทำให้โค้ชหลายคนเลือกที่จะรับงานคุมทีมชาติมากกว่า เพราะจะได้มีเวลาพักผ่อน ไปจนถึงการใช้เวลากับครอบครัวได้มากขึ้น
การตรียมทีมก่อนการแข่งขัน
การทำงานโค้ชสโมสร สามารถกำหนดได้ว่าจะเริ่มเตรียมความพร้อมเมื่อไร จะซ้อมวันไหน จะซ้อม นานเท่าไร อีกทั้งยังสามารถแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนการฝึกซ้อมได้ แต่สำหรับโค้ชทีมชาติ จะมีเวลาที่กำจัด เพราะฟีฟ่าเดย์จะมีระยะเวลาประมาณ 14 วัน สำหรับเกม 2 นัด หรือในกรณีของฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ จะมีเวลาฝึกซ้อมประมาณ 7-14 วัน ซึ่งถือเป็นกรอบเวลาที่ค่อนข้างจำกัด ฉะนั้นการเตรียมข้อมูล และแผนการฝึกซ้อม จะต้องถูกวางมาอย่างรอบครอบ เพราะหากไม่เป็นไปตามที่วางแผน ทีมเวิรค์อาจจะไม่ดีพอ จนไม่สามารถงัดศักยภาพของนักเตะออกมาได้
นอกจากนี้ โค้ชสโมสรสามารถสร้างทีมเวิรค์ได้ง่ายกว่า เนื่องจากมีการคลุกคลี และฝึกซ้อมกับนักฟุตบอลในทุกวัน ส่วนโค้ชทีมชาติ จะต้องหาวิธีการสร้างทีมเวิรค์ในเวลากำจัด เช่น เรียกนักฟุตบอลจากสโมสรเดียวกัน ในตำแหน่งใกล้ ๆ กัน มาติดทีม หรือมีตัวแกนหลักในทีมชาติ เพื่อลดเวลาในการสร้างทีมวิรค์ เพราะการสร้างทีมเวิรค์ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับทีมชาติ จนสามารถชี้วัดผลแพ้ชนะในเกมสำคัญได้ อาทิ เกมที่ ญี่ปุ่น ยิงนำ เยอรมัน 2-1 ในฟุตบอลโลก 2022 มันมาจากการสอดประสานของ อาซาโนะ และ มิโตมะ ที่เล่นฟุตบอลมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
การแก้เกมระหว่างการแข่งขัน
การแข่งขันระดับสโมสร เรื่องของข้อมูลที่ใช้จับทางคู่แข่ง จะมีความรู้เท่าทันต่อกันค่อนข้างมาก เพราะได้รู้ได้เห็นเป็นประจำทุกสัปดาห์ และการแก้เกมก็จะไม่ซับซ้อน จนสามารถเตรียมแผนที่จะแก้เกมมาก่อนได้ ตรงข้ามกับการแข่งขันของทีมชาติ ที่การเรียกนักฟุตบอลมาติดทีมจะไม่มีความแน่นอน สามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอด อีกทั้งเกมการแข่งขันก็มีช่วงเวลาที่เว้นวรรคอยู่ตลอดด้วย ทำให้มีโอกาสสูงที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแผนแบบฉับพลัน แม้จะเตรียมข้อมูลมาดีแค่ไหนก็ตาม ฉะนั้นการเป็นโค้ชทีมชาติ จะต้องมีคุณสมบัติเป็นคนหัวไว เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้ทีมได้เปรียบ หรือเป็นรองได้ทันที
เป้าหมายในการทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นโค้ชสโมสร หรือทีมชาติ ย่อมหวังถึงชัยชนะเป็นอันดับแรก แต่ในรายละเอียดจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย คือ โค้ชสโมสร จะต้องมองถึงความสม่ำเสมอ และใส่เต็มที่ทุกเกม เพื่อความชัยชนะให้ได้มากที่สุด ส่วนโค้ชทีมชาติ จะต้องแข่งขันแบบทัวร์นาเมนต์ รวมถึงมีเวลาพักและซ้อมไม่มากนัก ทำให้การหมุนเวียนผู้เล่นเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลต่อการการวางแผนของโค้ช ว่าเกมไหนต้องจัดตัวผู้เล่นเต็มอัตราศึก เกมไหนที่สามารถพักตัวหลักได้ หรือกล่าวได้ง่าย ๆ ว่า ชนะมากเท่าไรก็ไม่สำคัญเท่าเข้ารอบลึก ๆ อีกทั้งการรักษาสภาพทีมไม่ให้บอบช้ำ ก็ถือเป็นกุญแจสำคัญ ของทีมชาติที่จะประสบความสำเร็จ อาทิ ทีมชาติโปรตุเกส ในยูโร 2016 หรือทีมชาติกรีซ ในยูโร 2004 ที่มีแพ้ มีเสมอ แต่ผู้คนจดจำพวกเขาในฐานะแชมป์ ตรงข้ามกับทีมเยอรมัน ในยุคของ โยฮัน คิมเลิฟ ที่เล่นดี ทรงสวย เป็นตัวเต็งทุกทัวร์นาเมนต์ แต่ได้แค่แชมป์ฟุตบอลโลก 2014 ถ้วยเดียว
การเลือกนักฟุตบอล
ฟุตบอลสโมสร จะมีอิสระในการเลือกนักฟุตบอล เพราะอยากได้ใครก็ใช้เงินซื้อได้ จนสามารถจัดทีมได้อย่างที่ต้องการ แต่ฟุตบอลทีมชาติ โดยเฉพาะทีมระดับชั้นนำ ทรัพยากรนักฟุตบอลต้องมาจากคนในประเทศนั้น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ถูกเรียกมา ย่อมมีฝีมือ แต่อาจไม่เก่งที่สุด เมื่อเทียบกับชาติอื่น ฉะนั้น โค้ชทีมชาติ จะต้องบริหารจัดการนักเตะให้ดี รวมถึงนำทีมเวิรค์เข้ามาปรับใช้ เพราะทีมที่ศักยภาพดูเป็นรอง ก็สามารถเอาชนะทีมเต็งได้ อาทิ ทีมชาติโครเอเชีย ในช่วงหลัง 4 ปีหลัง
สรุปความแตกต่าง
งานโค้ชสโมสรเป็นงานที่หนัก เพราะมีระยะเวลาการทำงานที่มากกว่า และมีเวลาพักไม่มาก ส่วนโค้ชทีมชาติ งานเหมือนจะเบากว่า เพราะมีระยะเวลาการทำงานน้อย และได้พักมากกว่า แต่ในแง่ของเนื้องาน โค้ชทีมชาตินั้นยากกว่า เพราต้องทำงานในระยะเวลาที่จำกัด ต้องมีความรอบครอบในการวางแผน และต้องเป็นคนหัวไวในการแก้ไขเฉพาะหน้า เพราะการแพ้เพียง 1-2 นัด หรือทำทีมตกรอบ มันมีผลต่อพิจารณาว่าจะปลดออก หรือให้โอกาสทำงานต่อกับโค้ช ซึ่งคนที่จะมาทำหน้าที่ตรงนี้ได้ จะต้องเป็นโค้ชที่มีประสบการณ์ และผ่านงานโค้ชสโมสรมาก่อน