
แม้ว่าตอนนี้ เอ็มปัปเป้ จะยังคงเล่นให้กับ เปเอสเช แต่สื่อทุกสำนักต่างฟันธงไปแล้วว่า เอ็มบัปเป้ ตกลงที่จะย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด แบบไม่มีค่าตัว และจากนี้จะเหลือแค่การตกลงค่าเหนื่อย กับจรดปากกาเซ็นสัญญาเท่านั้น แต่การย้ายทีมในซัมเมอร์นี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่ไม่เหมาะกับ เอ็มบัปเป้ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยจากเงื่อนไขของนักเตะ ตลาดการซื้อ-ขาย และสถานการณ์ของทีมต่าง ๆ ที่เหมือนกับบีบให้ เรอัล มาดริด เป็นทางเลือกเดียว และทางเลือกสุดท้าย ของ เอ็มบัปเป้
ตัดสินใจผิดที่อยู่ เปเอสเช ต่อ

การย้ายจาก โมนาโก มา เปเอสเช ในช่วงปี 2018 ถือว่าเป็นก้าวเดินที่ถูกต้อง เพราะการได้อยู่กับยอดทีมของลีกเอิงฝรั่งเศส จะช่วยให้นักเตะดาวรุ่งค่อย ๆ เรียนรู้กับฟุตบอลระดับโลก ซึ่งมีความกดดัน และความคาดหวัง ว่าฟอร์มการเล่นจะต้องสม่ำเสมอ แต่การที่ เอ็มบัปเป้ ต่อสัญญาฉบับที่ 2 ก็ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ผิดพลาดของนักเตะ เพราะการเล่นอยู่ในลีกที่ผูกขาดและไร้คู่แข่ง มันจะมีผลให้นักเตะขาดแรงจูงใจ อีกทั้งนโยบายการซื้อนักเตะดี ๆ มาร่วมทีม ก็ยิิ่งเป็นเรื่องที่ เอ็มบัปเป้ ไม่ควรเชื่อใจตั้งแต่แรก เพราะการซื้อดาวดังเข้ามาเต็มทีม มักจะมีปัญหาเรื่องของอีโก้ และ เอ็มบัปเป้ เอง ก็มีปัญหากับนักเตะชื่อดังเหล่านั้น กระะนั้นก็ไม่สามารถย้ายทีมได้ เพราะมีสัญญาอยู่กับสโมสร จนต้องอยู่ด้วยกันนานถึง 6 ปี
ทีมเงินถุงน้อยลง
หากย้อนกลับไปก่อนโควิด-19 และ เอ็มบัปเป้ เหลือสัญญา 1 – 2 ปี เชื่อว่า 2 ทีมดังจากลาลีกา สเปน อย่าง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และทีมอื่น ๆ จะต้องยื่นข้อเสนอเพื่อขอซื้อตัวอย่างแน่นอน เพราะนี่คือนักเตะตัวท็อปของโลกยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานอีกนาน แต่เมื่อเกิดภาวะโควิด-19 ทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ก็กลายสภาพเป็นยาจกในทันที หรืออย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เลือกจะไม่จ่ายเงินเกินตัวไปมากกว่านี้ เพราะกำลังถูกเพ่งเล็งจากยูฟ่าอยู่ ทำให้ทีมในยุโรปที่พร้อมอ้าแขนรับ และมีเงินจ้าง คือ เรอัล มาดริด
ทีมใหญ่ในยุโรป ไม่ได้ขาดกองหน้ากึ่งปีก
บาร์เซโลน่า มีปัญหาเรื่องการเงิน และได้ เลวานดรอฟสกี้ ไปยืนศูนย์หน้าแล้ว โอกาสจึงแทบเป็นศูนย์ที่ เอ็มบัปเป้ จะย้ายไป ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มี ฮาแลนด์ เป็นตัวชูโรงอยู่แล้ว จึงมีไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาหน้ากึ่งปีกเพิ่ม ขณะที่ บาเยิร์น มิวนิค ก็เพิ่งได้ แฮร์รี่ เคน มายืนศูนย์หน้าในปีนี้ ทำให้ทีมใหญ่ ๆ ที่มีเงินพร้อมจะจ้าง เหลือแค่ เรอัล มาดริด ทีมเดียว
รูปแบบการทำทีมเปลี่ยนไป
ในอดีตมีความเชื่อกันว่า ทีมใดที่มีนักเตะชื่อดังมารวมตัวกัน ทีมนั้นจะประสบความสำเร็จได้เร็ว แต่เมื่อผ่านไป มันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว ว่าทีมแบบนั้นมีโอกาสที่จะล้มเหลว มากกว่าประสบความสำเร็จ เพราะต่างคนต่างเก่ง ต่างคนต่างเชื่อมั่นในตัวเอง จนไม่ต้องการรับฟังแนวคิดที่แตกต่าง ดังเช่นกรณีของ เปเอสเช ที่เมื่อดาวดังออกจากทีมไป กลายเป็นผลงานดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ทีมใหญ่ ๆ หลายทีม จึงปรับเปลี่ยนแนวทางการทำทีม คือ เน้นความเข้าใจในแท็คติก นักเตะมีแนวทางมีเป้าหมายที่ตรงกัน และในกรณีที่ต้องซื้อ คือ ตำแหน่งนั้นขาดจริง ๆ ไม่เหมือนกับในอดีต ที่ใช้วิธีกวาดซื้อตัวเก่ง ๆ แล้วสปิริตทีมเสีย
บุคลิกของ เอ็มบัปเป้
เอ็มบัปเป้ เป็นนักเตะที่ขยันฝึกซ้อม มีวินัย และมีภาวะผู้นำสูง แต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นปัญหา คือ ความมั่นใจที่สูงเกินไป ซึ่งมันมาจากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าเป็นภาวะเก่งเกินวัย การประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็ก และยังไม่เคยเจอความผิดหวัง ทำให้สิ่งเหล่านี้ได้หลอมรวมเป็นอีโก้ จนกระทั่งได้ฉายาว่า “ประธานเป้” เพราะเคยยื่นคำขาดต่อสโมสรว่า “ถ้าจะให้ผมอยู่ นักเตะคนนั้นต้องออกไป” ซึ่งมันก็สื่อให้เห็นได้ว่า ความมั่นใจของ เอ็มบัปเป้ มันเกินขอบเขตของนักฟุตบอล ที่มีหน้าที่ลงเล่นในสนาม มิใช่มาบ่งการฝ่ายบริหารว่าต้องการใคร ทำให้พฤติกรรมอีโก้สูงแบบนี้ มันมีโอกาสที่จะเป็น Toxic ภายในทีม จนหลายทีมไม่อยากเสี่ยง และไม่ยื่นข้อเสนอซื้อตัว เอ็มบัปเป้
เรอัล มาดริด เป็นต่อ เอ็มบัปเป้

การเหลือตัวเลือกเดียวของ เอ็มบัปเป้ มันสามารถมองได้ว่า เรอัล มาดริด เป็นต่อในดีลนี้ อย่างแรก คือ นักเตะที่มีอยู่ในทีมตอนนี้ ไม่ได้ขาดตำแหน่งกองหน้ากึ่งปีก และฟอร์มการเล่นของนักเตะเหล่านั้น ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก ๆ โดยตำแหน่งที่ราชันชุดขาวขาดจริง ๆ คือ กองหน้าตัวเป้าแบบขนานแท้ ฉะนั้นในดีลนี้ มาดริดได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ซึ่งมันอาจมีผลต่อการเจรจา ตั้งแต่ค่าเหนื่อย ไปจนถึงเงื่อนไขส่วนตัว ที่ทีมมีอำนาจต่อรองมากกว่า กลับกันทางฝั่งนักเตะดูจะเป็นรองกว่าด้วยซ้ำ เพราะหากเจรจากับ มาดริด ไม่ลงตัว เอ็มบัปเป้ ก็ไม่ทีมใหญ่ให้ลงเล่น และจะเหลือตัวเลือกแค่ ซาอุดีอาระเบีย หรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งนั้นเป็นตัวเลือกที่นักเตะไม่ต้องการอยู่แล้ว
ทั้งหมดนี้ จึงทำให้เห็นได้ว่าการย้ายทีมของ เอ็มบัปเป้ มาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะเจาะ ไม่ว่าจะเป็นปัจจััยจากสถานการณ์ต่าง ๆ และเงื่อนไขส่วนตัว ซึ่งท้ายที่สุดต้องติดตามกันต่อไป ว่าเมื่อจบฤดูกาลนี้แล้ว เอ็มบัปเป้ ได้ย้ายไปสวมเสื้อทีมขวัญใจในวัยเด็กอย่าง เรอัล มาดริด หรือไม่