15 เมษายน 1989 วันที่ยากจะลืมเลือนไปจากความทรงจำ ของแฟนบอลลิเวอร์พูล แม้โศกนาฎกรรมฮิลส์โบโร่ในวันนั้น จะผ่านมาแล้ว 35 ปี แต่ในระหว่างทางที่ยากลำบากนั้น คนที่อยู่ข้างหลังต้องทนทุกข์กับความสูญเสีย ต้องต่อสู้คดีกว่า 27 ปี เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม แต่ในเวลาเดียว เหตุการณ์ในครั้งนั้น ก็ได้นำมาสู่การเปลี่ยนโฉมฟุตบอลอังกฤษให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กระทั่งกลายเป็นลีกฟุตบอลที่มีมาตรฐานจวบจนทุกวันนี้

ฟุตบอล FA Cup ฤดูกาล 1988/89
ศึก FA CUP ฤดูกาล 1988/89 ลิเวอร์พูล เปิดรังถล่ม เบรนท์ฟอร์ด ขาดลอย 4-0 ส่วน ฟอเรสต์ บุกไปทุบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล โคจรมาพบกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งในยุคนั้นจะใช้สนามกลางที่มีระยะห่างจากทั้ง 2 ทีม แบบเท่า ๆ กัน ทำให้สนามกลางที่ถูกรับเลือก คือ ฮิลส์โบโร่ รังเหย้าของ เชฟฟิลด์ เว้นท์เดย ที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศอังกฤษ ซึ่งต่างกับในปัจจุบันที่ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ก็จะใช้สังเวียนเวมบลีย์ เป็นสนามกลางถึงรอบชิงชนะเลิศ
หลังเกิดเหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโร่ เกมรอบรองชนะเลิศถูกโยกไปแข่งขันวันที่ 7 พ.ค. ที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด รังเหย้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วเป็น ลิเวอร์พูล ที่เอาชนะไปได้ 3-1 ส่วนเกมนัดชิงชนะเลิศที่เวมลีย์ ลิเวอร์พูล เจอกับเพื่อนร่วมอย่าง เอฟเวอร์ตัน แล้วเป็นทางฝั่งหงส์แดง ที่เฉือนชนะ 3-2 คว้าแชมป์ FA Cup ในปีนั้นแบบมีคราบน้ำตา

ความผิดพลาดของฝ่ายจัด และตำรวจ
ที่สนามฮิลส์โบโร่ในวันนั้น ฝ่ายจัดได้ออกตั๋วจำหน่าย 53,000 ใบ แบ่งเป็นลิเวอร์พูล 24,000 ใบ ขณะที่ฟอเรสต์ ได้ 29,000 ใบ และแฟนบอลลิเวอร์พูล ราว 10,000 คน จะต้องขึ้นอัฒจันทร์หลังประตูฝั่งเลปปิ้งส์เลน ซึ่งนี่ถือเป็นความผิดพลาดของฝ่ายจัด ที่ไม่เลือกอัฒจันทร์ความจุเยอะให้กับฝั่งที่แฟนบอลมากกว่า แต่กลับไปให้แฟนบอลฟอเรสต์ ที่มีจำนวนน้อย และมีที่ว่างเหลือ
วันนั้นเป็นเกมใหญ่และมีแฟนบอลเยอะ เทศบาลเมืองเซาธ์ยอร์กเชียร์ จึงจัดกำลังตำรวจเพื่อเข้ามาช่วยดูแลเรื่องประตูเข้าออก รวมถึงป้องกันแฟนบอลไม่ให้กระทบกระทั่งกัน โดยมีนายตำรวจชื่อ เดวิด ดั๊คเค่นฟิลด์ เป็นผู้ควบคุมความปลอดภัยในสนาม แต่เพราะด้วยงานนี้เป็นครั้งแรกของของ ดั๊คเค่นฟิลด์ นั่นจึงทำให้เขาประเมินสถานการณ์ผิด และให้แฟนบอลเข้าสู่สนามช้าเกินไป เมื่อบอลจะเริ่มเตะในเวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น แต่กว่าที่ดั๊คเค่นฟิลด์ จะสั่งให้ตำรวจเปิดประตู เวลาก็ล่วงเลยถึง 14.30 น. กระทั่งเวลา 14.45 น. ยังมีแฟนบอลกว่า 5,700 คน ที่ยังไม่ได้เข้าสนาม เพราะประตูมีแค่ 7 ช่อง จนเกิดการเขย่ารั้ว และกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เป็นต้นเหตุให้เข้าไปดูบอลเตะไม่ทัน สุดท้าย ดั๊คเค่นฟิลด์ ทนแรงกดดันไม่ไหว จึงได้สั่งเปิดประตูใหญ่เพื่อให้แฟนบอลเข้าสนาม ซึ่งนั้นได้กลายเป็นหายนะที่จะเกิดโศกนาฎกรรมในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
เวลา 14.59 น. เกมในสนามเริ่มต้นขึ้น แต่อัฒจันทร์ฝั่งเลปปิ้งส์เลน ยังคงโกลาหลอย่างหนัก เพราะแฟนบอลที่กรูกันเข้ามาพร้อม ๆ กันหลายพันคน ได้พยายามเบียดเสียดตัวเองเข้าสู่สนาม ซึ่งแรงเบียดเสียดอันมหาศาลจากด้านหลัง ได้ดันให้คนที่อยู่ด้านหน้าไปติดอัดกับลูกกรงเหล็ก กระทั่งเวลา 15.06 น. ผู้ตัดสินกลางสนามต้องเป่ายุติเกม เพราะในตอนนี้มีผู้เสียชีวิต และกำลังมีผู้จะเสียชีวิตอีกเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยความที่รถพยาบาลในสนาม มีเพียง 3 คัน ทำให้คนที่มีโอกาสรอด ต้องเสียชีวิตคาสนามเพิ่มถึง 31 ราย

การพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ The Sun
ในตอนนั้น ลิเวอร์พูล มีการก่อจลาจลที่ท็อกซ์เท็ธในปี 1981 และโศกนาฎกรรมที่เฮย์เซล ปี 1985 ซึ่งแฟนบอลลิเวอร์พูลทำร้ายแฟนบอลยูเวนตุส จนมีผู้เสียชีวิต 39 คน จนถูกยูฟ่าสั่งแบนสโมสรอังกฤษ ห้ามเล่นฟุตบอลยุโรปเวลา 5 ปี ส่วนลิเวอร์พูล ห้ามเล่น 6 ปี นั่นจึงทำให้แฟนบอลอังกฤษ ต่างมองแฟนบอลิเวอร์พูล ว่าเป็นพวกนักเลงและชอบก่อเรื่อง จนสโมสรฟุตบอลจากอังกฤษต้องเดือดร้อนไปด้วย แล้วยิ่งมาเกิดเหตุที่ฮิลส์โบโร่ ซ้ำอีก นั่นจึงทำให้ The Sun พยายามหาประเด็นเด็ด ๆ มาเล่นกับข่าวนี้ เพื่อให้สื่อของตัวเองเป็นที่สนใจของผู้อ่าน
เดอะซันเลือกพาดหัวด้วยคำว่า THE TRUTH (เปิดเผยความจริง) ก่อนตามด้วยประเด็นที่ว่า มีแฟนบอลบางคนล้วงกระเป๋าเหยื่อ, มีแฟนบอลบางคนปัสสาวะใส่ตำรวจ และแฟนบอลไล่ทำร้ายกู้ภัยที่กำลังช่วยชีวิตแฟนบอล พร้อมกับอ้างว่าได้ข้อมูลนี้มาจากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ในสนาม ซึ่งการพาดหัวและเขียนข่าวแบบนี้ ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล และเมืองลิเวอร์พูล แบนหนังสือพิมพ์ The Sun ด้วยการไม่ซื้อ ไม่อ่าน ไม่กล่าวถึง นอกจากนี้สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน ก็ได้แบนสื่อสำนักนี้ ไม่ให้เข้ามาทำข่าวที่สนามจวบจนปัจจุบัน

Justice for the 96 (JFT96)
การที่สื่อโจมตีว่าโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ เป็นความผิดของแฟนบอลลิเวอร์พูล นั่นจึงทำให้ญาติผู้เสียชีวิตได้ก่อตั้งแคมเปญที่มีชื่อว่า Justice for the 96 (JFT96) เพื่อพิสูจน์ความจริงว่าเหตุการณ์ในวันนั้น เป็นความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานผิดพลาด ไม่ใช่แฟนบอลทำตัวเองจนเสียชีวิต กระทั่งปี 2016 การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมที่ยาวนานกว่า 27 ปี ก็ได้จบลง เมื่อศาลก็ได้ประกาศคำตัดสิน โดยมีประเด็นดังนี้
- เจ้าหน้าที่ตำรวจเซาธ์ยอร์คเชียร์ วางแผนในวันแข่งผิดพลาด จนนำมาสู่เหตุโศกนาฏกรรม
- ตำรวจเปิดประตูให้แฟนบอลเข้าสนามช้าจนเกินไป และไม่ยอมแจ้งเลื่อนเวลาการแข่งขันออกไป ทั้ง ๆ มีอำนาจทำได้
- สนามของเชฟฟิลด์ เวนสเดย์ มีดีไซน์ที่ผิดพลาด ส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรม
- รถพยาบาลมาถึงช้าเกินไป ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมของฝ่ายจัด
- ไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าแฟนบอลเป็นฝ่ายผิด ซึ่งรวมถึงข้อกล่าวหา ว่าขโมยของเหยื่อ หรือปัสสาวะใส่ตำรวจตามที่เดอะ ซัน กล่าวอ้าง

เอากรงเหล็กออก เปลี่ยนตั๋วยืนเป็นตั๋วนั่ง
สนามฟุตบอลในอังกฤษ จะมีสแตนด์ยืนเป็นส่วนใหญ่ และสแตนด์ที่ติดเก้าอี้เป็นส่วนน้อย นั่นจึงทำให้การกำหนดจำนวนแฟนบอล สามารถเพิ่มเท่าไรก็ได้ตราบเท่าที่สนามจะรองรับไหว กระนั้นปัญหาที่ตามมา จนกลายเป็นเรื่องปกติในสนามฟุตบอล คือ สแตนด์ยืนกลายเป็นแหล่งมั่วสุมของสุรา บุหรี่ และยาเสพติด เพราะการตรวจค้นทำได้ยาก เนื่องจากแฟนบอลมีจำนวนหนาแน่น อีกทั้งมันกลายเป็นแหล่งรวมตัวของฮูลิแกน หรืออันธพาลลูกหนัง ที่มักยกพวกตีกันอยู่บ่อยครั้ง ทำให้การเข้าไปดูฟุตบอลในสนาม มักเต็มไปด้วยความรุนแรง ความก้าวเร้า ไม่เหมาะสำหรับเด็ก และผู้หญิง ที่อาจได้รับอันตรายได้ทุกเมื่อ
หลังจากเหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโร่ หน่วยงานภาครัฐได้สืบสวนหาสาเหตุ และหาวิธีป้องกันในอนาคต กระทั่งวันที่ 29 มกราคม 1990 ผลการสอบสวนโดยผู้พิพากษาปีเตอร์ เทย์เลอร์ ก็ได้ออกมา พร้อมกับมีคำชี้แนะที่เป็นการเปลี่ยนโฉมฟุตบอลอังกฤษไปตลอดกาล คือ สนามฟุตบอลต้องนำกรงเหล็กออก และติดตั้งที่นั่งทุกสแตนด์ ซึ่งจะช่วยลดการรวมตัวมั่วสุมของฮูลิแกน สามารถกำหนดปริมาณแฟนบอลได้เหมาะสนามกับความจุของสนาม ตลอดจนสร้างความปลอดภัยแก่เด็ก ผู้หญิง และคนชรา เพราะมีการระบุที่นั่งอย่างชัดเจน
การออกกฎให้ทุกสนามรื้อกรงเหล็ก และติดตั้งเก้าอี้ ได้เกิดการต่อต้านจากแฟนบอล และสโมสรฟุตบอลทั่วประเทศอังกฤษ เพราะการนั่งเชียร์ทำให้บรรยากาศไม่น่าเกรงขาม แฟนบอลเข้าสนามได้น้อยลง ส่วนสโมสรเสียรายได้จากจำนวนตั๋วที่ต้องลดลง จนต้องเพิ่มราคาตั๋ว และมีภาระต้องจ่ายเงินเพิ่ม สำหรับการติดตั้งเก้าอี้ทั้งสนาม
แรงต่อต้านจากแฟนบอล และสโมสรฟุตบอลเริ่มเบาลง เมื่อภาครัฐตั้งกองทุนขึ้นมา ซึ่งมีมูลค่าราว 168 ล้านปอนด์ เพื่อแจกจ่ายให้กับสโมสรฟุตบอลทั่วประเทศ ตามขนาดความจุและระดับชั้นของทีมนั้น ๆ โดยฤดูกาล 1994/95 สโมสรในพรีเมียร์ลีก ต้องติดตั้งเก้าอี้ทั้งหมด ส่วนตั้งแต่ระดับเดอะแชมป์เปี้ยนส์ชิพ ลงไป ต้องติดตั้งเก้าอี้ให้ครบ ภายในฤดูกาล 1999/2000 นอกจากนี้ยังเพิ่มความปลอดภัย ด้วยการบังคับให้ทุกสนามต้องมีกล้องวงจรปิด และห้องสำหรับมอนิเตอร์สอดส่องทั่วสนาม
ความสูญเสีย 97 ชีวิต สู่การเปลี่ยนแปลงในวันนั้น ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ ภาพลักษณ์ใหม่ ของฟุตบอลอังกฤษที่เคยเป็นจุดด่างพร้อย ให้กลายเป็นลีกที่มีมาตรฐานระดับโลก และสามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาลแก่สโมสรฟุตบอล แม้ทีมนั้นจะเป็นทีมอันดับอันดับสุดท้ายของตารางก็ตาม ฉะนั้น จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ จึงให้บทเรียนกับเราว่า การพูดความจริง การให้เกียรติผู้สูญเสีย ย่อมดีกว่าการเขียนพาดหัวข่าวที่หวือหวาเพียงวันเดียว แต่ต้องสูญเสียฐานลูกค้าไปตลอดกาล และการทำงานของผู้มีอำนาจในภาครัฐ ที่ยึดผลประโยชน์ของคนส่วนมาก มีการประนีประนอมกับสโมสรฟุตบอลไม่ให้เสียผลประโยชน์ หรือรู้สึกเหมือนโยนภาระมาให้ จนสุดท้ายการทำงานก็ประสบความสำเร็จในที่สุด